โดยขั้นตอนแรกให้ท่านเลือกวางเดิมพันโดยท่านสามารถเลือกสกอร์ได้ตามใจชอบ และจะมีตัวเลือกให้ท่านเลือกเดิมพัน 2 ฝั่งระหว่าง ฝั่งผู้เล่น(Player) กับ ฝั่งเจ้ามือ(Banker) เมื่อทำการวางเดิมพันแล้ว ดีลเลอร์จะทำการการแจกไพ่โดยจะแจกไพ่และหงายไพ่ 2 ใบ ทั้ง ฝั่งผู้เล่น(Player) และ ฝั่งเจ้ามือ(Banker) ถ้าผลรวมของไพ่ทั้ง 2 ใบแรก เป็นแต้มที่นับในการเล่น เช่น ได้ 6 กับ 6 ผลรวมแต้มที่ได้เป็น 12 ให้นักเดิมพันนับเฉพาะหลักหน่วย คือ นักเดิมพันจะได้เพียง 2 แต้ม
ส่วนกติกาการจั่วไพ่ ส่วนของผู้เล่นจะไม่ยุ่งยาก คือถ้าผู้เล่นได้แต้ม 0 – 5 แต้ม จะต้องจั่วไพ่ 1 ใบ แต่ถ้าผู้เล่นได้แต้ม 6 – 7 แต้ม ไม่จำเป็นต้องจั่วไพ่เพิ่ม และถ้าผู้เล่นได้แต้ม 8 กับ 9 แต้ม จะไม่มีการจั่วไพ่เพิ่มอีก เพราะในการเล่นบาคาร่านั้นถ้าหน้าไพ่มีแต้ม 9 แต้ม คือแต้มเยอะที่สุด และจะเป็นผู้ชนะ
***ในกรณีไพ่ เหมือนกัน เช่น A โพดำ และ A ดอกจิก จะไม่มีการนับดอกว่าฝั่งใดไหญ่กว่าฝั่งใด ถือว่าเป็นการ เสมอ ทั้ง 2 ฝ่าย
2. Banker (แบงเกอร์) คือ
การวางเดิมพันของเจ้ามือ อัตราการจ่ายอยู่ที่ 1:0.95 และ 1:0.96 เป็นบางเว็บที่มีการจ่าย 0.96
3. Tie Game (เสมอ) คือ
การวางเดิมพันผลเสมอกันระหว่างผู้เล่นเจ้ามือ อัตราการจ่ายอยู่ที่ 1:8
4. Player Pair (เพลเยอร์คู่) คือ
การวางเดิมพันผู้เล่นจะออกไพ่คู่หรือหน้าไพ่ที่เหมือนกันใน 2 ใบแรก โดยมีอัตราการจ่ายอยู่ที่ 1:11
5. Banker Pair (แบงเกอร์คู่) คือ
การวางเดิมพันของเจ้ามือจะออกไพ่คู่หรือหน้าไพ่ที่เหมือนกันใน 2 ใบแรก โดยมีอัตราการจ่ายอยู่ที่ 1:11
6. Either-Pair (ไพ่เบิ้ล) คือ
การวางเดิมพันหน้าไพ่ 2 ใบแรก ทั้งฝ่ายเจ้ามือหรือฝ่ายผู้เล่นออกเลขเดียวกัน หรือตัวอักษรเดียวกัน มีอัตราการจ่ายอยู่ที่ 1:5
7. Perfect-Pair (ไพ่เบิ้ลฟลัช) คือ การวางเดิมพันหน้าไพ่ 2 ใบแรก ทั้งฝ่ายเจ้ามือหรือฝ่ายผู้เล่นออกเลขเดียวกัน หรือ ตัวอักษรเดียวกันจะต้องมีดอกและสีเดียวกันอีกด้วย มีอัตราการจ่ายอยู่ที่ 1:25
***โดยข้อ 6-7 ท่านไม่ต้องสนใจมากก็ได้เพราะบางเว็บเท่านั้นที่จะมีให้เลือกเดิมพัน เพราะมีโอกาสน้อยมากที่ไพ่จะออกมาเหมือนกันทั้งหมด 4 ใบ ผู้คนจึงไม่ค่อยนิยมเดิมพัน***